บทที่
2 กําหนดจุดหมายการเรียนรู้ (Setting Learning
Goals)
การกําหนดจุดหมายการเรียนรู้
ผู้เรียนต้องระบุจุดหมายการเรียนรู้ (goals) ด้วยการ
การปฏิบัติ โดยการระบุ ความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative knowledge) และระบบัง หรือกระบวนการ (procedural knowledge) จุดหมายการเรียนรู้ไม่ได้ถูกจํากัดด้วยจํานวนของบ
เนื้อหาสาระหรือความรู้สูงสุด
แต่หมายถึงความคาดหวังที่จะเรียนรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและเจตนา
แสดงถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ (goals)
ด้วยการระบุความรู้และ
และระบุทักษะ การปฏิบัติ
จํากัดด้วยจํานวนของบทเรียน ปริมาณ
ใดสิ่งหนึ่งและเจตนาที่จะให้ผู้เรียน
จุดหมายการเรียนรู้
จุดหมายการเรียนรู้
(learning Goals) ความปรารถนาอยากเรียนรู้
ความปรารถนาอาจมาจากบคอล ประสบการณ์ สถานการณ์พิเศษหรืออื่น ๆ David Henry
Feldman (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 140 อารี
สัณหฉวี ผู้แปล ความเก่ง 7 ชนิด ค้นหาและพัฒนาพหุปัญญาในตน
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)
ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ เรียก สิ่งที่จุดประกายความ
ปรารถนาที่จะเรียนรู้นี้ว่า ประสบการณ์ตกผลึก(crystalizing experiences) ประสบการณ์ประทับใจหรือ ประสบการณ์ตกผลึกนี้
จะเป็นประสบการณ์ที่เป็นจุดหักเหของชีวิต ถ้าความปรารถนาที่จะเรียนรู้เกิดขึ้นหลัง
ประสบการณ์ตกผลึก ก็จะต้องมีการพัฒนาฟูมฟัก Alfred North Whitehead (อ้างถึงในอารี สัณหฉวี 2546 : 141) กล่าวว่าในการพัฒนาฟูมฟักมี
3 ขั้น เรียกว่า จังหวะของการศึกษา(rhythm of
education) ขั้นที่หนึ่ง คือ ระยะหลงรัก(romance) ระยะนี้จะเป็นความรื่นเริง มีชีวิตชีวาที่จะเรียนรู้ ขั้นที่สอง คือ
ระยะของความแม่นยํา (precision) ระยะนี้จะต้องศึกษาฝึกหัดฝึกซ้อมให้ถูกต้องแม่นยําและขั้นที่สาม
คือระยะของความคล่องแคล่ว สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ (generalization)
การกําหนดจุดหมายการเรียนรู้เป็นแนวทางหนึ่ง ในการพัฒนาปัญญา
ซึ่งอาจวางแผนเพื่อพัฒนาปัญญาด้านใดด้านหนึ่งมาศึกษาและฝึกหัด ในการวางแผน
พัฒนาปัญญานี้ ผู้ที่ถนัดด้านมิติอาจทําเป็นเส้นเวลาหรือรูปภาพ ผู้ที่ถนัดด้านมนุษยสัมพันธ์อาจจะเล่าเรื่องเห
เพื่อนสนิทฟัง เป็นต้น
จุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
Bloom และคณะ (1956) ได้จัดกลุ่มการเรียนรู้ออกเป็นสามประเภท
คือ ด้านพุทธพิสัย ค้านทักษะ พิสัย และด้านพิสัย
พุทธพิสัยรวมถึงการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะพิสัยรวมถึงการพัฒนาเสรีทางกายและทักษะที่ต้องการใช้กล้ามเนื้อสัมพันธ์กับประสาทจิตพิสัยเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งเจตคติ
ความซาบซึ้งและค่านิยม
การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนผลที่ได้รับ
จากการเรียนรู้ที่ได้จากการเรียนการสอน ในการที่จะประสบผลสําเร็จตามจุดหมายของการศึกษา
ขอบเขต
การเรียนรู้ทั่งสามนี้ต้องได้รับการบูรณาการเข้าไว้ในทุกลักษณะของการเรียนการสอนและการพัฒนา
หลักสูตรซึ่งจะทําให้ผู้เรียนกลายเป็นจุดโฟกัสของกระบวนการเรียนการสอนการเรียนรู้
ดังภาพประกอบที่ 3
· พุทธิพิสัย
· ทักษะพิสัย
· จิตพิสัย
ภาพประกอบที่ 3
บูรณาการของพุทธพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย อนุกรมภิธาน เป็นระบบของการแยกแยะบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้น
อนุกรมภิธานของการศึกษา
จึงแยกแยะพฤติกรรมที่นักเรียนสามารถคาดหวังที่จะทําให้ได้ภายหลังจากที่ได้เรียนรู้แล้ว
อนุกรมภิธาน เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ
อนุกรมภิธานด้านพุทธิพิสัยของบลูมและคณะ
พุทธิพิสัย รวมถึง ความรู้
ความเข้าใจการนําไปประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และ การประเมินค่า
พุทธิพิสัยแต่ละประเภทในอนุกรมภิธานประกอบด้วยองค์ประกอบบางประการของประเภท
ความรู้ที่ต้องมาก่อนอนุกรมภิธานนี้มีประโยชน์สําหรับการออกแบบหลักสูตรและการสร้างแบบทดสอบ
ตารางที่
1 อนุกรมภิธานทางปัญญาของบลูม ระดับพฤติกรรม
นิยาม
1. ความรู้------
เกี่ยวข้องกับความจําและการระลึกได้ของข้อความจริงเฉพาะคําต่างๆ
สัญลักษณ์ วันที่ สถานที่ ฯลฯ กฎ แนวโน้ม ประเภท วิธีการ ฯลฯหลักการ ทฤษฎี
วิธีการจัดความคิด
2. ความเข้าใจ-------เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ การเรียนรู้ แปลความ
สรุปความ ตีความย่อความ ขยายรายละเอียด ทํานายผล และผลที่ติดตามมา
3. การนําไปประยุกต์ใช้-------
เกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะใช้ในการเรียนรู้ที่หลากหลายสถานการณ์การใช้
หลักการและทฤษฎีการใช้ความเป็นนามธรรม
4. การวิเคราะห์ ------เกี่ยวข้องกับความแตกต่าง ย่อยระบุหรือแยกส่วนของสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยเชื่อมโยง
เข้าด้วยกันเป็นสิ่งใหม่ระบุและเชื่อมโยง
5. การสังเคราะห์----------เกี่ยวข้องกับการแตกส่วนใหญ่ให้เป็นส่วนย่อยระบุหรือแยก
องค์ประกอบค้นพบปฏิสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ระหว่างส่วน ความสัมพันธ์ของหลักการ
เกี่ยวข้องกับการผสมผสานองค์ประกอบเข้าด้วยกันเป็นสิ่งใหม่ระ
องค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นการใหม่ๆ จัดการผสมผสานส่วนย่อย ด้วยกันสร้างสิ่งใหม่ขึ้น
6. การประเมินค่า------เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณค่าของวัตถุและวิธีการ
พิจารณาในรูปของมา ภายในพิจารณาในรูปของมาตรฐานภายนอก
จิตพิสัย
การเรียนรู้ทางเจตคติพาดพิงถึงคุณลักษณะของอารมณ์ของการเรียนรู้ เกี่ยวข้องการว่า
นักเรียนรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนรู้
รู้สึกอย่างไรกับการเรียนรู้กับตนเอง และเป็นการ พิจารณาความสนใจ ความซาบซึ้ง
เจตคติค่านิยมและคุณลักษณะของผู้เรียน
ทักษะพิสัย
เกี่ยวข้องกับทางร่างกายหรือทักษะทางประสาทและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กัน
ในการเฝ้าดูการเรียนรู้ที่จะเดินก็จะเกิดความคิดว่ามนุษย์เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างไร
เมื่อเด็กได้รับ ความคิดว่าต้องการอะไร และมีทักษะที่ต้องมีมาก่อนมีความแข็งแรง
และวุฒิภาวะและอื่นๆ เด็กจะพยายามมี ความหยาบๆ ซึ่งจะค่อยๆ
แก้ไขผ่านข้อมูลกลับย้อนมาจากสิ่งแวดล้อม เช่น ธรณีประตู การหกล้ม พรม ผู้ปกครอง
และสุดท้าย ทักษะการแสดงออกซึ่งมีคุณค่าต่อวัยเด็กเตาะแตะนั้น
การปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม
แอนเดอร์สัน และแครทโฮล (2001)
ได้ปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาของบลูม (Blooms Taxonomy
revise)
ตารางที่ 4
การเปรียบเทียบ Bloom's Taxonomy 1956 และ 2001
New Version(Bloom's Taxonomy 2001)
Old Version (Bloom's Taxonomy 1956)
|
สร้างสรรค์-Creating
|
การสังเคราะห์Synthesis
|
ประเมิน-Evaluating
|
การประเมิน-Evaluation
|
วิเคราะห์-Analysing
|
การวิเคราะห์-Analysis
|
ประยุกต์-Applying
|
การนําไปใช้ Application
|
ความเข้าใจ-Understanding
|
ความเข้าใจ-Comprehension
|
ความจํา-Remembering
|
ความรู้ Knowledge |
ความรู้ Knowledge |
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
(Revised's Bloom Taxonomy) ที่กล่าวถึงมิติ
ทางการเรียนรู้ของ Bloom และคณะ (1956) ซึ่งแอนเดอร์สันและแครธโธล (Anderson & Krathwohl, 2001) ได้กล่าวถึงรายละเอียดของพฤติกรรมผู้เรียนและผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning
Outcome) โดยจําแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) มิติด้านกระบวนการทางปัญญา
(Cognitive Dimension Process) และ
2) มิติด้านความรู้
(Knowledge Dimension) มิติด้านกระบวนการทาง
จําแนกระดับความรู้เป็น 4
ระดับ ได้แก่
1) ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง (Factual
Knowledge) พื้นฐานของผู้เรียนต้องรู้จักหลักการหรือวิธีการแก้ปัญหา
2) ความรู้ที่เป็นมโนทัศน์ (Conceptual Knowledge) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานในโครงสร้างทั้งหมดที่จะทําให้สามารถเชื่อมโยงกันได้
3) ความรู้ในการดําเนินการ
Procedural Knowledge ) วิธีการสืบค้นและเกณฑ์ในการใช้ทักษะ เทคนิควิธีการ
เพื่อดําเนินการ
4) ความรู้อภิปัญญา (Metacognitive Knowledge )
ความรู้จากการรับรู้และความเข้าใจใน ตนเอง
การปรับปรุงอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษานี้ได้กล่าวถึงอภิปัญญา (Meta
Cognitive Knowledge) เป็นมิติหนึ่งของความรู้ คือ
การมีความรู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับความรู้ทางปัญญาโดยทั่วไป รู้ถึง
ความรู้ในตนเอง ซึ่งมิติใหม่ทางการศึกษานี้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้
จุดมุ่งหมายการศึกษาของมาร์ซาโน
Marzano
& Kendall, (2007) ได้พัฒนาการจัดกลุ่มพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นใหม่
แบ่งเป็น 1) ระบบ ปัญญา (Cognitive System) 2) ระบบอภิปัญญา (Meta cognitive System) และ 3)ระบบตนเอง (Self System และได้จําแนกอนุกรมวิธานจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเป็น
6 ขั้น
ขั้นที่ 1 การดึงกลับคืนมา (Retrieval) ได้แก่ การระบุข้อความได้ (Recognizing) การระล (Recalling)
และลงมือปฏิบัติได้ (Executing)
ขั้นที่ 2 ความเข้าใจ (Comprehension) ได้แก่ การบรณาการ (Integration) และการทําให้เป็น
สัญลักษณ์ (Symbolizing)
ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ (Analysis) ได้แก่ การจับคู่ได้ (Matching) แยกประเภทได้ (Classifying)
วิเคราะห์ ความผิดพลาดได้ (Analyzing Error) ติดตามได้
(Generalizing) และชี้ให้จําเพาะเจาะจงได้ (Specifying)
ขั้นที่ 4 การนําความรู้ไปใช้ (Knowledge
Utilizing) ได้แก่ การตัดสินใจ (Decision Making) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทดลองปฏิบัติ (Experimenting)
และการสืบค้นต่อไปให้เกิดความเข้าใจ ที่ลึกซึ้ง (Investigating)
ขั้นที่ 5 อภิปัญญา (Meta-cognition) ได้แก่ การระบุจุดหมาย (Specifying Goals) การกํากับติดตาม
กระบวนการ (Process Monitoring) การทําให้เกิดความชัดเจนในการกํากับติดตาม
(Monitoring Clarity) และ
การกํากับติดตามตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน (Monitoring Accuracy)
ขั้นที่ 6 การมีระบบความคิดของตนเอง (Self-System
thinking) ได้แก่ การตรวจสอบประสิทธิภาพ
(Examining
Efficacy) การตรวจสอบการตอบสนองทางอารมณ์ (Examining
Emotional Response) และการตรวจสอบแรงจูงใจ (Examining
Motivation)
การกําหนดจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมาย มี 2
ลักษณะ คือ
· จุดมุ่งหมาย(goals) ที่มีลักษณะกว้าง ๆ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถวัด
หรือสังเกตได้ทันที
· จุดมุ่งหมายที่มีลักษณะเฉพาะ
สังเกตเห็นพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของผู้เรียนได้ บางครั้งเรียกว่า
จุดประสงค์การเรียนรู้ (performance objective) จําแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ จุดประสงค์เพื่อพัฒนา ศักยภาพ (potential
performance) จุดประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (typical
performance)
การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจนสื่อความหมายให้เข้าใจนัยเพียงหนึ่งเดียว
การระบุสมรรถภาพให้ชัดเจน
ควรได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรียนรู้จบรายวิชาแล้วมีความสามารถที่จะ ทําอะไรได้ โดยที่เอก่อนเรียนรู้รายวิชานั้น
ๆ ยังไม่สามารถทําได้
การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคต
ถ้าเป็นไปได้เน้นย้ํามโนทัศน์จากชั้นเรียนที่ผ่านมา พยายามเชื่อมโยง
ให้เห็นความสัมพันธ์กับมโนทัศน์ที่จะเรียนในอนาคต
จุดมุ่งหมายกับการทดสอบ
ถ้าเราเขียนจุดมุ่งหมายได้ชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาจะทําให้สร้าง แบบทดสอบได้ง่าย
ยังสามารถกําหนดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะให้ได้เป็นอย่างดี
การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก ABCD
A แทน Audience หมายถึง ผู้เรียนที่แสดงพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายและกําหนดเวลา B แทน Behavior หมายถึง พฤติกรรมที่คาดหวังจากผู้เรียน
โดยเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้
C แทน Conditions หมายถึง สภาพการณ์หรือเงื่อนไขที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติหรือแสดง
พฤติกรรมที่สามารถวัดได้
D แทน Degree หมายถึง ระดับหรือเกณฑ์การวัดที่กําหนดขึ้นมาให้ผู้เรียนปฏิบัติ
การเขียนจุดมุ่งหมายตามหลัก SMART
1. S -Sensible & Specific จุดมุ่งหมายต้องเฉพาะเจาะจงชัดเจน
จุดมุ่งหมายการเรียนการสอนที่ดี ต้องมีความเป็นไปได้และชี้เฉพาะ
2. M - Measurable จุคมุ่งหมายต้องสามารถวัดผลได้
ซึ่งช่วยให้ได้ข้อมูลว่าผลการดําเนินการ เป็นอย่างไร ประสบความสําเร็จหรือไม่
3. A - Attainable & Assignable จุดมุ่งหมายต้องเป็นไปได้ และผู้เรียนหรือผู้ปฏิบัตินําไปปฏิบัติ
ได้หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามจุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้
4. R - Reasonable & Realistic จุดมุ่งหมายต้องมีความเป็นเหตุเป็นผลกันและเป็นไปได้จริง
5. T - Time Available จุดมุ่งหมายต้องมีกําหนดเวลา
เป็นไปได้ตามเวลา เมื่อเวลาเปลี่ยนไปหรือ สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้
จุดมุ่งหมายก็ควรเปลี่ยนไปด้วย
จุดมุ่งหมายการศึกษาอิงมาตรฐาน
Haris
and Car (1996 รุ่งนภา นุตราวงศ์, ผู้แปล 2545
: 14-16) ให้คําจํากัดความของมาตรฐาน เนื้อหา(Content
standard) และมาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน (student
performance standards) ดังนี้
มาตรฐานเนื้อหา (content standard) ระบุองค์ความรู้ที่สําคัญ
ทักษะและพัฒนาการด้านจิตใจ ดังนี้
1. องค์ความรู้ที่สําคัญ (essential
knowledge) ระบุถึง แนวความคิด ประเด็นปัญหา ทางเลือก กฎเกณฑ์
และความคิดรวบยอดในวิทยาการต่าง ๆ ที่สําคัญ ตัวอย่างเช่น
“ผู้เรียนสามารถเข้าใจธรรมชาติและการทํางานของเซลล์
ทั้งการทํางานเป็นเอกเทศและการ ทํางานร่วมกันเป็นระบบที่ซับซ้อน”
2. ทักษะ (Skills) เป็นวิธีการคิด การทํางาน การสื่อสาร และการศึกษาสํารวจ ตัวอย่าง
ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยาย
และอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ใช้ระเบียบวิธีการทางสถิติในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ตีความ เปรียบเทียบ และสรุปผล เกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์
และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในสังคม
3. พัฒนาการด้านจิตใจ (Habits of mind) การเรียนรู้และประสบการณ์จากการศึกษาทั้งใน โรงเรียนและนอกโรงเรียน
มีผลต่อพัฒนาการด้านจิตใตของผู้เรียน รวมถึงกระบวนการในการศึกษาค้นคว้า
การแสดงข้อมูล หลักฐานสนับสนุนความคิด การอภิปรายโต้แย้ง
และความพึงพอใจในการทํางานร่วมกับ ผู้อื่น ตัวอย่าง
“ผู้เรียนสามารถประเมินการเรียนรู้ของตนเอง
โดยการสร้างเกณฑ์เพื่อใช้ประเมินงานที่มี คุณภาพ”
มาตรฐานการปฏิบัติของผู้เรียน
Wiggins (1994) จัดกลุ่มมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ 4
กลุ่ม คือ
1. มาตรฐานผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) เป็นมาตรฐานที่ระบุผลที่ต้องการจากการ ปฏิบัติงานใดงานหนึ่งของผู้เรียน
เช่น กําหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อ ผู้ฟัง
หรือให้ผู้เรียนเขียนสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดเพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือให้ผู้เรียนใช้ความรู้ ทางภูมิศาสตร์ในการวางแผนอนาคต เป็นต้น
2. มาตรฐานกระบวนการ (Process) เป็นมาตรฐานที่สะท้อนยุทธวิธี
เทคนิควิธีการที่เหมาะ ใช้ในการปฏิบัติงาน เช่น
มาตรฐานที่กําหนดให้ผู้เรียนกล่าวสุนทรพจน์อย่างชัดเจน หรือให้ผู้เรียนใน
สื่อสารได้อย่างสละสลวยสัมพันธ์กัน หรือให้ผู้เรียนใช้กระบวนการที่เหมาะสมในการสร้างหรือบ
กฎเกณฑ์
3. มาตรฐานเนื้อหา (content) เป็นมาตรฐานที่ระบุเนื้อหาสาระ
ความคิดรวบยอด เช่น ผู้เรียนรู้สมบัติของสสาร มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการผลิต กา
ต้องการของตลาด เป็นต้น
การเรียนการสอนโดยตรง
สรุป การสอนโดยตรงโดยทั่วไปมี 3
ขั้นตอน ( http://www2.southeastern.edu/Acader
rhancock/theory.htm#DI) ได้แก่
1. การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน
2. การนําเสนอข้อมูลใหม่
3. การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ ให้ข้อมูลย้อนกลับ
และการประยุกต์ใช้
ขั้นที่ 1 การสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน สร้างแรงจูงใจผู้เรียน ให้มีแรงจงใจเพียงพอที่จะมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้
มีส่วนร่วมใน การเรียนรู้
และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายจนกระทง
ขั้นที่ 2
การนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
การอธิบาย พยายามใช้การปฏิสัมพันธ์และการป้อนคําถาม
ถามที่ละขั้นตอน
การสาธิต การเรียนการสอนที่ซับซ้อน
ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนด ด้วยมีเครื่องมือจํากัด
และคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้เรียน
ตํารา ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่า
แบบฝึกหัดสําหรับผู้เรียน
การฝึกเขียนการจัดระบบระเบียบและการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
โสตทัศนูปกรณ์ สร้างความน่าสนใจและแม่นยําในการนําเสนอข้อมูลใหม่ให้กับผู้เรียน
ขั้นที่ 3 การเสนอแนะแนวทางปฏิบัติ
ให้ข้อมูลย้อนกลับ และการประยุกต์ใช้
สาระเบื้องต้นคือ
การยืนยันความถูกต้องเพื่อความแน่ใจและการให้แนวคิดและข้อเสนอแนะ
ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะต้องทํางานเป็นรายบุคคล แม้ว่าการทํางานเป็นกลุ่มจะเป็นที่ยอมรับ
การเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ด้วย ตนเอง
แนวคิด Constructivism เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของความรู้ของมนุษย์
มีความหมายทั้งในเชิงจิตวิทยาและเชิงสังคมวิทยา ทฤษฎีด้านจิตวิทยา เริ่มต้นจาก Jean
Piaget ซึ่งเสนอว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นกระบวนการส่วนบุคคลมีความเป็นอัตนัย Vygotsky ได้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลว่า
เกิดจากการสื่อสารทางภาษากับบุคคลอื่น สำหรับด้านสังคมวิทยาEmile
Durkheim และคณะ
เชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางสังคมมีผลต่อการเสริมสร้างความรู้ใหม่ ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนว Constructivism จัดเป็นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (cognitive
psychology) มีรากฐานมาจากผลงานของ Ausubel และ Piaget
ประเด็นสำคัญประการแรกของทฤษฎีการเรียนรู้ตาม Constructivism คือ ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม
โดยใช้กระบวนการทางปัญญา(cognitive apparatus) ของตน
ประเด็นสำคัญประการที่สองของทฤษฎี
คือ การเรียนรู้ตามแนว Constructivism คือ
โครงสร้างทางปัญญา เป็นผลของความพยายามทางความคิด ผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาด้วยตนเอง
ผู้สอนไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียนได้
แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น
ลักษณะการพัฒนารูปแบบการสอน1. การสอนตามแนว Constructivism เน้นความสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน และความสำคัญของความรู้เดิม
2. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงความรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองได้ ผู้เรียนจะเป็นผู้ออกไปสังเกตสิ่งที่ตนอยากรู้ มาร่วมกันอภิปราย สรุปผลการค้นพบ แล้วนำไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากเอกสารวิชาการ หรือแหล่งความรู้ที่หาได้ เพื่อตรวจความรู้ที่ได้มา และเพิ่มเติมเป็นองค์ความรู้ที่สมบูรณ์ต่อไป
3. การเรียนรู้ต้องให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง จนค้นพบความรู้และรู้จักสิ่งที่ค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อจนรู้จริงว่า ลึก ๆ แล้วสิ่งนั้นคืออะไร มีความสำคัญมากน้อยเพียงไร และศึกษาค้นคว้าให้ลึกซึ้งลงไป จนถึงรู้แจ้ง
บทบาทของผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ผู้สอน
1. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสังเกต สำรวจเพื่อให้เห็นปัญญา
2. มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน เช่นแนะนำ ถามให้คิด หรือสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง
3. ช่วยให้ผู้เรียนคิดค้นต่อ ๆ ไป ให้ทำงานเป็นกลุ่ม
4. ประเมินความคิดรวบยอดของผู้เรียน ตรวจสอบความคิดและทักษะการคิดต่าง ๆ การ
ปฏิบัติการแก้ปัญหาและพัฒนาให้เคารพความคิดและเหตุผลของผู้อื่น
บทบาทของผู้เรียน
ในการเรียนตามทฤษฎี Constructionism ผู้เรียนจะมีบทบาทเป็นผู้ปฎิบัติและสร้างความรู้ไปพร้อมๆกันด้วยตัวของเขาเอง(ทำไปและเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน) บทบาทที่คาดหวังจากผู้เรียน คือ
1. มีความยินดีร่วมกิจกรรมทุกครั้งด้วยความสมัครใจ
2. เรียนรู้ได้เอง รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆที่มีอยู่ด้วยตนเอง
3. ตัดสินปัญหาต่างๆอย่างมีเหตุผล
4. มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตนเอง
5. วิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้
6. ให้ความช่วยเหลือกันและกัน รู้จักรับผิดชอบงานที่ตนเองทำอยู่และที่ได้รับมอบหมาย
7. นำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้นั้น
การประยุกต์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. การใช้สื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระการเรียนรู้และผลงานต่าง ๆ ด้วยตนเอง
2. การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีบรรยากาศที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความสนใจ
3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด การทบทวน และการเรียนรู้ต่อไป
4. จัดสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ เช่น วัย ความถนัดความสามารถ และประสบการณ์
5. สร้างบรรยากาศที่มีความเป็นมิตร
6. ครูต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผู้เรียน
7. การประเมินผลการเรียนรู้ต้องประเมินทั้งผลงานและกระบวนการ
8. ใช้วิธีการที่หลากหลายในการประเมิน เช่น การประเมินตนเอง การประเมินโดยครูและ เพื่อน การสังเกต การประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน