การตรวจสอบทบทวน บทที่ 4

ตรวจสอบและทบทวน (Review and Reflect on your learning)
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้น การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล ปฏิบัติการเขียนแผน จัดการเรียนรู้ด้วยเขียนแผนการสอนตามรูปแบบ the STUDIES Model ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้อง กับสาขาวิชาเอกที่เรียน โดยกําหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้และจัดหาหรือผลิตสื่อการเรียนรู้ประกอบบทเรียน
การออกแบบที่เป็นสากลในการเรียนการสอน (Universal Design for Instruction :UDI)
การนําแนวคิด UD มาใช้โดยเป็นการประยุกต์เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนที่มี ความต้องหลากหลาย โดยมีหลักการว่า UD นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่า ผู้เรียนแต่ละคนมี ลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และมีความต้องการที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งการนํา UD ไปใช้ในการศึกษากเพื่อ สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละคน และส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มที่ตามศักยภาพ (Eagleton, 2008)
Scott, Shaw and McGuire (2001) ได้เสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล ไว้ 9 ประการ ในการออกแบบการสอนที่เป็นสากล (Universal Design of Instruction หรือ UDI) ได้รับการ พัฒนามาจากการศึกษาค้นคว้างานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการในการออกแบบที่เป็นสากล (Universal Design หรือUD) และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ครูผู้สอนใช้ในการครุ่นคิด ไตร่ตรอง โดยนําไปใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ หรือใช้เพื่อพิจารณาการ สิ่งที่ทําอยู่แล้ว ณ ปัจจุบันก็ได้ แล้วแต่ความจําเป็นของผู้สอนแต่ละท่าน หลักการทั้ง 9 ประการนี้จะแสดงให้ เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับการสอน หรือเป็นแนวทางในการสอน ไม่ว่าจะเป็นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียน หรือการขยายประสบการณ์การเรียนรู้ หรือการพิจารณาว่าจะสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เหมาะสมกับเด็ก ทุกคนได้อย่างไร ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้สอนจะใช้หลักการทุกข้อกับการเรียนการสอนทุกด้านพร้อม ๆ กันได้ แต่เมื่อดูชั้นเรียนโดยองค์รวม จะพบว่าหลักการแต่ละข้อจะเข้ามามีบทบาท หลักการทั้งหมดนี้มี ประโยชน์สําหรับผู้สอนทุกท่าน ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ชําชองจากสาขาวิชาต่าง ๆ และมีประโยชน์ สูงสุดสําหรับผู้สอนมือใหม่หรือครูผู้ช่วยสอนที่ต้องการคําแนะนําและแนวทางในการสอน
Scot, Shaw and McGuire (2003 : 369 - 379) ได้นําเสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการ สอนที่เป็นสากลไว้ 9 ประการ ดังนี้
   1. ความเสมอภาคในการใช้งาน (EQUITABLE USE)
เป็นการออกแบบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สําหรับคนทุกคน ข้อมูลและอุปกรณ์ต้องใช้ งานได้อย่างราบรื่นโดยกลุ่มนักเรียนที่เยอะขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น หมายถึงการใช้อุปกรณ์การ เรียนการสอนที่เหมือนกัน "เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ และใช้อุปกรณ์ที่เทียบเท่าเมื่อใช้อุปกรณ์ที่เหมือนกัน ไม่ได้" ตัวอย่างเช่นข้อความดิจิทัลในรูปแบบที่ใช้ได้กับซอฟต์แวร์อ่านข้อความหลาย ๆ ชนิด และมีลิงก์ เชื่อมโยงไปยังข้อมูลเบื้องหลังสําหรับนักเรียนทุกคน
   2. ความยืดหยุ่นในการใช้ (FLEXIBILITY IN USE)
เป็นการออกแบบที่ทําให้ผู้เรียนแต่ละคนที่มีความหลากหลายได้ใช้ได้เช่นเดียวกัน ต้องมี ตัวเลือกหากผู้เรียนต้องการฟังเนื้อหาต้องทําได้ หรือจะพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารที่จับต้องได้ก็ต้องทําได้ และยังต้องปรับขนาดและความคมชัดของตัวอักษรได้เพื่อประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีปัญหาด้านสายตา ผู้สอนควร จัดเตรียมวิธีการสอนที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้เกี่ยวกันในหลายรูปแบบ
   3. ง่ายและเป็นธรรมชาติ (SIMPLE AND INTUITIVE)
เป็นการออกแบบที่ทําให้ผลิตภัณฑ์นั้นใช้งานง่าย สิ่งสําคัญในการเรียนรู้คือความเข้าใจเนื้อหาที่ เรียน ไม่ใช่วิธีในการทําความเข้าใจ (วิธี ไม่สําคัญ สําคัญคือเข้าใจ) เมื่อผู้สอนจะนําหลักการนี้ไปใช้จึงต้องใช้ ตารางคะแนนช่วย (ในตารางจะเขียนว่าต้องเข้าใจอะไรอย่างไร)
   4. สารสนเทศที่ช่วยให้รับรู้ได้ (PERCEPTIBLE INFORMATION)
เป็นการออกแบบที่ทําให้ผู้เรียนแต่ละคนเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนกัน ข้อมูลสารสนเทศความรู้จะ ถูกนําเสนอแก่ผู้เรียนในลักษณะที่สามารถเข้าถึงได้ (ตัวอย่างเช่นเมื่อพูดถึงกราฟิกจะมีการอธิบาย หรือใช้ แท็กสําหรับผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสายตา ส่วนคําบรรยายมีไว้สําหรับนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางการได้ยิน และเอกสารการอ่านทั้งหมดจะมีให้ในรูปแบบดิจิทัลที่เข้าถึงได้)
   5. การยอมรับว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น (TOLERANCE FOR ERROR)
เป็นการออกแบบที่คํานึงความปลอดภัยของผู้เรียน (ในฐานะใช้) ผู้สอนต้องเข้าใจว่าผู้เรียนมี ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และมีแหล่งเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ผลก็คือประสิทธิภาพของการสอนก็ย่อมแปรผัน ไปเช่นเดียวกัน ผู้สอนต้องให้ผู้เรียนแบ่งโครงงานใหญ่ ๆ ออกเป็นส่วนเล็ก ๆ มาส่งก่อน เพื่อจะได้นํา ข้อเสนอจากผู้สอนไปปรับปรุงโครงงานโดยรวม
   6. ความสามารถทางกายภาพที่ต่ํา (LOW PHYSICAL EFFORT)
เป็นการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้มีความเมื่อยล้าในการใช้น้อยที่สุด เมื่อความพยายามทางกายภาพ ไม่ได้เป็นส่วนสําคัญของหลักสูตรายวิชา ความพยายามทางกายภาพควรจะขจัดให้หายไปเพื่อที่ผู้เรียนจะ "เพิ่มความสนใจในการเรียนรู้" ดังนั้นการลดอุปสรรคการเรียนรู้ในทางกายภาพก็เป็นดีในการเรียนรู้สําหรับ ผู้เรียนบางคน
   7. ขนาดและพื้นที่สําหรับการประยุกต์ใช้และการใช้ (SIZE AND SPACE FOR APPROACH AND USE)
เป็นการออกแบบเพื่อผู้ใช้ที่มีขนาดร่างกายที่แตกต่างกันใช้ได้อย่างสะดวก พิจารณาความ ต้องการของผู้เรียนภายในพื้นที่ที่กําหนดไว้ โดยให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงในขนาดร่างกาย ท่าทาง การเคลื่อนไหว และความต้องการของนักเรียน
   8. ชุมชนของผู้เรียน (A COMMUNITY OF LEARNERS)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ สร้างสภาพแวดล้อม (ทั้งทางกายภาพและทางออนไลน์) ที่รู้สึกปลอดภัยและสนับสนุนการโต้ตอบระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง รวมทั้งระหว่างนักเรียนและผู้สอน
   9. บรรยากาศในการสอน ( INSTRUCTIONAL CLIMATE)
เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ ที่สภาพแวดล้อมได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้เรียนทุกคน สื่อสารให้นักเรียนรับรู้ว่าผู้สอนมีตั้งความคาดหวังไว้สูงสําหรับผู้เรียนทุกคน อาจารย์ผู้สอนสามารถเริ่มต้นกระบวนการนี้ได้ทั้งในหลักสูตรกับคําแถลงเกี่ยวกับความคาดหวังในการเคารพต่อความแตกต่างและความหลากหลายรวมถึงข้อความกระตุ้นให้นักเรียนเปิดเผยตนเองเกี่ยวกับปัญหาการเรียนรู้ที่ได้รับการรับรองหรือสงสัย
รูปแบบ the STUDIES Model
รูปแบบ The STUDIES Model มี 7 ขั้นตอน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
S : กําหนดจุดหมายการเรียนรู้ (Setting learning goals) การกําหนดจุดหมายการเรียนรู้ ผู้เรียนต้อง ระบุจุดหมายการเรียนรู้(goals) ด้วยการระบุความรู้และการปฏิบัติ โดยการระบุ ความรู้ในรูปของสารสนเทศ (declarative knowledge) และระบุทักษะ การปฏิบัติ หรือกระบวนการ(procedural knowledge) จุดหมาย การเรียนรู้ไม่ได้ถูกจํากัดด้วยจํานวนของบทเรียน ปริมาณเนื้อหาสาระหรือความรู้สูงสุด แต่หมายถึงความ คาดหวังที่จะเรียนรู้ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งและเจตนาที่จะให้ผู้เรียนแสดงถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้
T : วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis) ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้ ความรู้ (knowledge) ทักษะ (Skill) และเจตคติ(Attitude) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการอธิบายภาระงานหรือกิจกรรมที่ช่วยนําทางผู้เรียนไปสู่ จุดหมายการเรียนรู้ การวิเคราะห์งานจะเขียนแสดงความสัมพันธ์ด้วย KSA diagram คือ Knowledge-Skill
Attitudes
U : การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for Instruction UDI) เป็นการ ออกแบบการสอนที่ครูมีบทบาทเป็นผู้ดําเนินการเชิงรุก (proactive) เกี่ยวกับการผลิตและหรือจัดหาจัดทําหรือ ชี้แนะผลิตภัณฑ์การศึกษา(educational products (computers, websites, Software, textbooks, and lab equipment) และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้(dormitories, classrooms, student union buildings, libraries, and distance learning courses) ที่จะระบุถึงในทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน
D : การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัล (Digital Learning) การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลเป็นการเรียนรู้ผ่านเครือข่าย เช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social networking) การแชร์ภาพ และการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่ เป็นต้น การเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลมีนัยมากกว่าการรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ยังครอบคลุมถึงประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับเนื้อหา(content) จริยธรรม สังคม และการสะท้อน (Reflection) ซึ่งฝังอยู่ในการเรียนรู้ การทํางาน และชีวิตประจําวัน
I : การบูรณาการความรู้ (Integrated Knowledge) การเชื่อมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องภายในศาสตร์ ต่าง ๆ ของรายวิชาเดียวกันหรือหลากหลายวิชาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนําความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง ในการ จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated learning Management) เป็นกระบวนการจัดประสบการณ์โดย เชื่อมโยงสาระความรู้ของศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ทักษะ และเจตคติ
E : การประเมินเพื่อปรับปรุงการสอน (Evaluation to Improve Teaching) การประเมินการเรียนรู้ ของตนเอง โดยกําหนดค่าคะแนนจากการวิเคราะห์การประเมินการเรียนรู้ด้านความรู้ (Cognitive Domain) ของบลูม (Bloom's Taxonomy) การประเมินตามสภาพจริงและการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน เป็นการ ตรวจสอบการบรรลุจุดหมายการเรียนรู้
S : การประเมินอิงมาตรฐาน (Standard Based Assessment ) การประเมินคุณภาพการเรียนรู้ อิงมาตรฐาน โดยใช้แนวคิดพื้นฐาน โครงสร้างการสังเกตผลการเรียนรู้ (Structure of Observed Learning Outcomes : SOLO Taxonomy) มากําหนดระดับคุณภาพผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการตรวจสอบคุณภาพ การเรียนรู้ รวมถึงมาตรฐานการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก

การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ท่องอวกาศ
จุดประสงค์การเรียนรู้    
1. สรุปความก้าวหน้าของการศึกษาเทคโนโลยีอวกาศได้
2. อธิบายและยกตัวอย่างเทคโนโลยีอวกาศที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้
3. วิเคราะห์และบอกข้อดีข้อเสียจากผลการศึกษาค้นคว้าทางด้านอวกาศที่มีต่อการดำรงชีวิตได้
4. ออกแบบสร้างสรรค์ค์ผลงานตามความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศได้
5. บอกประโยชน์ที่ได้จากการเรียน และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมที่  1 เรื่อง  ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอวกาศ
1. ครูเล่าความเชื่อของคนไทยสมัยโบราณ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศ เช่น
    - โลกมีสัณฐานแบนคล้ายจาน ถ้าเดินทางไปสุดขอบโลก จะตกจากโลก
    - โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
    - เมื่อมีดาวหางปรากฎในท้องฟ้า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น   ครูชี้ให้นักเรียนเห็นว่า ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศมากเพียงใด
2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการสำรวจอวกาศของมนุษย์ ตามใบความรู้ และค้นคว้าเพิ่มเติมจามสื่ออื่นๆ
3. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มเก็บรวบรวมข่าวดาราศาสตร์ และเทคโนโลยีอวกาศ เป็นเวลา 1 เดือน จัดทำเป็น ผลงาน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอวกาศ แล้วนำผลงานมาจัดป้ายนิเทศ
4. ครูและนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ข่าวต่างๆ ที่แต่ละกลุ่มนำเสนอ เกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย หรือผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อันเนื่องมาจากการค้นพบสิ่งเหล่านั้น

กิจกรรมที่  2  เรื่อง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอวกาศ   
1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย และยกตัวอย่างวิธีการค้นหาความรู้และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสรุปว่า วิธีการค้นหาความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ อาจทำได้หลายวิธี วิธีหนึ่งคือการสังเกต การสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่พบเห็น หรือจินตนาการต่างๆ ของมนุษย์เอง เช่น
    - คอเปอร์นิคัส เฝ้าสังเกต และบันทึกตำแหน่งของดวงดาวในท้องฟ้า เป็นเวลานาน จนพบว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของระบบสุริยะ
    - นิวตัน เห็นแอปเปิลตกลงมาจากต้น ก็สร้างความสัมพันธ์กับการตกของสิ่งอื่นๆ จนค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก
    - พี่น้องตระกูลไรท์ สังเกตการบินของนก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครื่องบิน
2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และให้นักเรียนคิดว่านักวิทยาศาสตร์มีวิธีการ พานหะ หรือเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการสำรวจอวกาศอย่างไร
3. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มสร้างจรวดจากกล่องฟิล์ม และกระดาษวาดเขียน เสร็จแล้วใช้ยาลดกรดเทลงในกล่องฟิล์ม รีบปิดฝา แล้วคว่ำลงทันที สังเกตการเปลี่ยนแปลง แล้วบันทึกผล จากนั้นเปลี่ยนสัดส่วนของยาลดกรดกับน้ำ สังเกตการขับดันให้จรวดเคลื่อนที่ เปรียบเทียบกันในแต่ละครั้ง แล้วบันทึกผล สรุปผลการทดลอง จัดทำเป็น ผลงาน จรวดทำงานอย่างไร แล้วให้แต่ละกลุ่มนำผลการทดลองมาเปรียบเทียบกัน
4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปการทำงานของจรวด ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงขับดันให้จรวดเคลื่อนที่ได้

กิจกรรมที่ 3 เรื่อง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอวกาศ
1. ครูนำภาพจรวด ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีขนส่งอวกาศ และยานขนส่งอวกาศ มาให้นักเรียนดู แล้วตั้งคำถามให้นักเรียนช่วยกันตอบ เช่น
    - พาหนะแต่ละชิ้นคืออะไร ใช้ทำประโยชน์อะไร
    - อุปกรณ์แปต่ละชิ้น มีการทำงานแตกต่างกันอย่างไร
    - ยานอวกาศคืออะไร มียานอะไรบ้าง ที่มนุษย์เคยส่งขึ้นไปสำรวจห้วงอวกาศ
2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และยานขนส่งอวกาศ ว่าแต่ละอย่างคืออะไร ใช้ประโยชน์ และมีวิธีการทำงานอย่างไร มีความก้าวหน้าเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ อย่างไร แล้วผลัดกันออกมานำเสนอผลงานที่หน้าชั้น
3. ให้นักเรียนจินตนาการว่า ตนเองเป็นนักบินอวกาศ และขึ้นไปสำรวจดวงดาวที่ตนเองชอบที่สุด แล้วเขียนบรรยายสิ่งที่พบจากการสำรวจ พร้อมกับวาดภาพประกอบ จัดทำเป็น ผลงานฉันสำรวจดาว
4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการทดลองด้านต่างๆ ในอวกาศ

กิจกรรมที่  4  เรื่อง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ
1. ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายในหัวข้อ เทคโนโลยีอวกาศมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์หรือไม่ เพราะอะไร โดยครูอาจตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ เช่น
    - ทำไมเราต้องมีการค้นคว้าด้านอวกาศ
    - เราได้ประโยชน์อะไร จากการสำรวจอวกาศ
    - ประเทศไทยได้รับประโยชน์อะไร จากการสำรวจอวกาศ
    - คนไทยได้ประโยชน์อะไร จากความก้าวหน้าในการสำรวจอวกาศ
2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปประโยชน์ที่ได้รับจากการสำรวจอวกาศ ใน 3 ด้าน คือ ด้านอุตุนิยมวิทยา การสื่อสาร และการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติที่ส่งผลโดยตรงต่อการดำรงชีวิตให้ดีขึ้น
3. ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดกิจกรรม ดังต่อไปนี้
      1) เลือกข่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศที่ตนเองสนใจ มาติดลงในใบงาน และบันทึกข้อมูลว่า เป็นข่าวประเภทใด มีใจความสำคัญอย่างไร
      2) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชุดนักบินอวกาศและตอบคำถาม จัดทำเป็น ผลงาน ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ
4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และแนวทางในการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน