แนวทางการพัฒนาตนเองสู่ครูมืออาชีพ
ครูมืออาชีพ ตามความหมายของกรมวิชาการ ได้ให้ความหมายไว้ว่า
คือครูที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้านที่จะเป็นครู คือ มีความรู้ความสามารถ
มีทักษะในการให้การศึกษาอบรมศิษย์ในทุก ๆ ด้าน มีความประพฤติดี วางตัวดี
เอาใจใส่ดูแลศิษย์ดี มีวิญญาณของความเป็นครู และปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณ
ซึ่งจากความหมายนี้ เราจะเห็นได้ว่า ระดับของครูมืออาชีพนั้น
แตกต่างจากระดับคนที่ประกอบอาชีพครูอยู่พอสมควร
ครูทุกคนถึงแม้จะมีความรู้ทางวิชาชีพทัดเทียมกัน
เพราะส่วนใหญ่ต่างจบจากสถาบันผลิตครูเหมือนๆกัน
หรือจะแตกต่างกันบ้างก็ตรงชื่อของมหาวิทยาลัยที่เรียนจบ แต่เมื่อผ่านการคัดเลือกเข้ามาบรรจุครูในสถานศึกษาของรัฐหรือได้ทำงานในสถานศึกษาของเอกชน
ครูทุกคนก็มีจุดเริ่มต้นในการทำงานที่แทบจะไม่ต่างกัน แต่อะไรเล่า?
ที่เป็นตัววัดว่า ใครคือผู้ประกอบอาชีพครูธรรมดาๆ
และใครควรจะถูกเรียกว่าเป็นครูมืออาชีพ
สิ่งที่ทำให้ครูมืออาชีพ แตกต่างจากผู้ประกอบอาชีพครูโดยทั่วไปนั้น
คือการสามารถปฏิบัติตนให้ดำรงไว้ซึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมความเป็นครูที่ดี 4 ประการ
ซึ่งปรากฏในหนังสือคู่มือเส้นทางครูมืออาชีพสำหรับครูผู้ช่วย
ของสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติกร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
อันได้แก่
1. อุดมการณ์ของครู
สำหรับครูมืออาชีพ
จะเน้นในเรื่องในของการดำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ความเป็นครูมากกว่าจะคำนึงถึงอามิสสินจ้าง
โดยพร้อมแสดงความเมตตากรุณาต่อศิษย์
เสียสละและมุงมั่นในการทำงานเพื่อเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพตามความสามารถที่ตัวเองพึงกระทำได้
2. คุณลักษณะของการเป็นครูที่ดี
ครูมืออาชีพส่วนใหญ่จะมีลักษณะของการเป็นครูที่ดี ซึ่งการเป็นครูที่ดีนั้น
ถ้ามองตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพแล้วจะสามารถสรุปได้คร่าวดังนี้ คือ
-
ต้องเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องของนโยบายการศึกษา เข้าใจในหลักสูตรและเนื้อหาวิชาที่สอน
มีทักษะในการสอน วัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง
-
ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างสม่ำเสมอ สามารถจับประเด็นและวิเคราะห์ปัญหาต่างๆได้
-
สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนการสอน ทั้งในเรื่องของการดูแลผู้เรียน
การจัดการสื่อการเรียนการสอน และการช่วยเหลืองานสนับสนุนการจัดการในโรงเรียนต่างๆ
เช่น งานพัสดุ หรืองานธุรการ เป็นต้น
- มีคุณธรรมจริยธรรมตามหลักของจรรยาบรรณวิชาชีพ
-
รู้จักพัฒนาตนเองและส่งเสริมชุมชนอยู่เสมอ
ซึ่งจากคุณลักษณะการเป็นครูที่ดี
โดยสังคราะห์จากเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ
จะเห็นว่าครูมืออาชีพนั้นจะต้องเป็นปฏิบัติดีทั้งต่อตัวเอง ผู้เรียน โรงเรียน รวมไปถึงชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงด้วย
3. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ปัจจุบันนี้
อาชีพครูกลายเป็นอาชีพหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในเรื่องของหนี้สิน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าครูจะไม่ใช่อาชีพที่ทำรายได้ในระดับที่สูงมากนัก แต่รายได้ของครูก็เพียงพอต่อการใช้สอย
ถ้ามีความพอเพียงและสามารถบริหารจัดการได้ดี การมีหนี้สิน
ถ้าอยู่ในระดับที่ดูแลจัดการได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
แต่ส่วนใหญ่ที่พบมักเป็นลักษณะของการมีหนี้สินติดพันรุงรังจนกระทบต่อการทำงาน
ทำให้ครูไม่อาจทำงานได้เต็มที่ กังวลกับเรื่องหนี้สินตลอดเวลา
ซึ่งสำหรับครูมืออาชีพนั้น
จะเป็นผู้ที่หยิบยกแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาใช้ในการดำเนินชีวิตคือ
พอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง ทำให้สามารถใช้ชีวิตในวิชาชีพครูได้เป็นแบบอย่างที่ดีและมีความสุข
4. คุณธรรมที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
การเป็นครูมืออาชีพ
จะต้องยึดถือคุณธรรมในการทำงาน ซึ่งคุณธรรมในการประกอบวิชาชีพครูนั้น
ตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพ จะประกอบด้วย (1) ความมีเมตตากรุณาต่อศิษย์ (2) มีความยุติธรรม (3) มีความรับผิดชอบ (4)
มีวินัย (5) ขยันขันแข็ง (6) อดทน (7) ประหยัด (8) รักและศรัทธาในวิชาชีพครู (9)
มีความเป็นประชาธิปไตยในการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิต
สำหรับการแนวทางในการฝึกฝน
เพื่อก้าวสู่การเป็นครูมืออาชีพนั้น จากบทความเรื่อง คมคิด 12 ประการ สู่ความเป็นครู
สควค. มืออาชีพ ของนายเดชา การรัมย์ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านม่วงหนองตาด
จังหวัดสุรินทร์ (ตำแหน่ง ณ ขณะนั้น)
ได้เขียนไว้ในวารสาร สควค. ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 เมษายน-มิถุนายน 2551 นั้น
ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์และสามารถนำมาเป็นแนวทางในการฝึกฝนและพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่ความเป็นครูมืออาชีพได้
จึงนำมาเรียบเรียงใหม่ให้เหมาะสมตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า
ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นแนวทาง ดังนี้
1.
ผู้สอนควรปฏิบัติตนให้มีความเหมาะสมตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของของบุคคลทั่วไป
2.
ควรศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาของชาติ ตามนโยบายต่างๆ ของทางกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม
3.
ต้องศึกษากฎหมายและหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
เพื่อให้สามารถออกแบบกระบวนการเรียนรู้อย่างเหมาะสม
4.
ต้องทำความรู้จักผู้เรียน เพื่อให้ทราบถึงอุปนิสัยใจคอ จุดเด่น
และจุดที่ต้องพัฒนาเรียน สามารถ วิเคราะผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้
ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้
5.
จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นทักษะการปฏิบัติ
เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดความเข้าใจและสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง
โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้แนะแนวทางและให้คำปรึกษามากกว่าเป็นผู้ชี้นำในการเรียนการสอน
6.
ควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีการบูรณาการแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
ในส่วนของเนื้อหาที่สัมพันธ์กัน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความคิดเชื่อมโยงและสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
7.
เลือกใช้วิธีการวัดผลการเรียนรู้อย่างหลากหลายตามสภาพที่เหมาะสมของผู้เรียน เพื่อให้ทราบถึงผลลัพธ์ที่ถูกต้องและแม่นยำ
8.
เลือกจัดกิจกรรมหรือโครงการที่เน้นให้ผู้เรียนให้เกิดความรู้ ทักษะ
หรือคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง
9.
ควรมีการอบรมพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง และใช้การวิจัยในชั้นเรียนเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาต่างๆของผู้เรียน
10. หมั่นศึกษาและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ควรร่วมกิจกรรมการฝึกอบรมหรือกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูทั้งในและนอกโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
11. ฝึกฝนทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้
12.
พัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีกับบุคคลอื่น
สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้